| |||||||||||||||||||||||||||||||||||
พรีวิว (Preview) Samsung Galaxy Note 3 (Galaxy Note III) และ Samsung Galaxy Gear ภาคต่อของสุดยอด สมาร์ทโฟน เพื่อการขีดเขียน ที่มาพร้อมรูปลักษณ์พรีเมียมสวยหรู บางเบากว่าเดิม และการใช้งานคู่กับนาฬิกาอัจฉริยะ Samsung Galaxy Gear ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Preview Date (16-กันยายน-2556) เมื่อวันเสาร์ที่ 14 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ทางบริษัท ซัมซุง (ประเทศไทย) ได้เปิดโอกาสให้ทีมงานของเรา และสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้อง ไปสัมผัสกับตัวจริงเสียงจริงของ Samsung Galaxy Note 3 (Galaxy Note III) เป็นครั้งแรก โดย Samsung Galaxy Note 3 นั้นเป็นรุ่นต่อยอดที่ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ด้วยความสำเร็จอย่างถล่มทลายของรุ่นก่อนหน้านี้อย่างSamsung Galaxy Note 2 (Galaxy Note II) ดังนั้นความคาดหวังจึงสูงเป็นเงาตามตัว ซึ่งในวันนี้เราจะมาดูกันว่า Samsung Galaxy Note 3 จะสร้างความประทับใจในแรกสัมผัสได้มากน้อยขนาดไหน และนอกจากนั้น ภายในวันเดียวกันนี้ ทาง ซัมซุง ก็ได้นำอุปกรณ์เสริมสุดไฮเทคอย่าง Samsung Galaxy Gear มาอวดโฉมด้วยเช่นกัน ซึ่ง Samsung Galaxy Gear ก็คือนาฬิกาอัจฉริยะที่เปิดตัวมาคู่กับ Samsung Galaxy Note 3 ดังนั้น การใช้งานร่วมกันของอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้ ก็จะมีความสมบูรณ์แบบ และเอื้อประโยชน์ในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานได้พอสมควร
คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Galaxy Note 3
ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง จะมีความกว้างอยู่ที่ 79.2 มิลลิเมตร และมีความสูงอยู่ที่ 151.2 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Samsung Galaxy Note 2 มาก ส่วนการดีไซน์จะดูมีเหลี่ยมมุมมากกว่าเดิม ลดความโค้งมนลง ให้ความรู้สึกที่ดูเข้มขรึมมากขึ้น โดยที่ด้านหน้านี้จะประกอบไปด้วยลำโพงหูฟังสำหรับการสนทนา, Proximity Sensor, Ambient Light Sensor, เลนส์กล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, จอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1920x1080 พิกเซล), ปุ่มฟังก์ชันแบบสัมผัส, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับแบบสัมผัส
ปุ่มแบบสัมผัสทั้ง 2 ปุ่มที่อยู่บริเวณด้านล่างของหน้าจอนั้นสามารถใช้ปากกา S Pen สัมผัสได้ ซึ่ง Samsung Galaxy Note 2 จะไม่สามารถทำได้
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วยเลนส์กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชในตัว และที่ฝาหลังนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของ Samsung Galaxy Note 3 เนื่องจากใช้วัสดุแบบหนังเทียม ซึ่งดูสวยหรู และดูเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมมากกว่าเดิม โดยผู้ใช้สามารถถอดฝาหลังออกมาได้ เพื่อใส่แบตเตอรี่, ซิมการ์ดแบบ microSIM และการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีเพียงปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง และตัวเครื่องมีความบางเฉียบเพียง 8.3 มิลลิเมตร ซึ่งบางกกว่าเดิมประมาณ 1.1 มิลลิเมตร โดยการออกแบบไซน์บริเวณกรอบด้านข้างของตัวเครื่องนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ขอบของเล่มหนังสือ ที่มีหน้ากระดาษซ้อนกันเป็นชั้นๆ นั่นเอง
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องจะมีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อคหน้าจอ
ที่ด้านบนของตัวเครื่องจะมี Infrared Port, ไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับการตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา และช่องต่อสายหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วยไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง, ช่อง USB เวอร์ชัน 3.0, ลำโพงเสียงภายนอก และช่องสำหรับเก็บปากกา S Pen Stylus
ช่อง USB เวอร์ชัน 3.0 นี้จะช่วยให้สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้น และผู้ใช้ยังคงสามารถนำหัวต่อแบบ microUSB ทั่วๆ ไปมาเชื่อมต่อได้ตามปกติ
น้ำหนักของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 168 กรัม ซึ่งเบากว่า Samsung Galaxy Note 2 อยู่ประมาณ 15 กรัม
ขนาดของตัวเครื่องโดยรวมถือว่าใกล้เคียงๆ กับ Samsung Galaxy Note 2 แต่มีความบางเบากว่าเดิม และจับได้ถนัดมือมากกว่าเนื่องจากวัสดุที่ด้านหลังเป็นหนังเทียม ซึ่งพื้นผิวแบบนี้จะช่วยให้มีการยึดเกาะที่ดีกว่า
ตัวเครื่องของ Samsung Galaxy Note 3 ที่นำมาจำหน่ายในประเทศไทยนั้นมีอยู่ 2 สีด้วยกัน คือ สีดำ (Jet Black) และสีขาว (Classic White)
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Samsung Galaxy Note 2 ก็จะเห็นว่ามีขนาดที่ใกล้เคียงกันมาก แต่หน้าจอของ Samsung Galaxy Note 3 จะใหญ่กว่าเล็กน้อย และดูมีเหลี่ยมมีมุมมากกว่า
วัสดุที่ใช้ทำเป็นฝาหลังนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Samsung Galaxy Note 2 จะใช้วัสดุแบบโพลีคาร์บอเนต และมีพื้นผิวที่มันลื่น ส่วน Samsung Galaxy Note 3 จะใช้วัสดุแบบหนังเทียม ซึ่งมีพื้นผิวที่ให้สัมผัสที่นุ่มมือมากกว่า
Samsung Galaxy Note 3 บางเฉียบกว่า Samsung Galaxy Note 2 อยู่ราวๆ 1.1 มิลลิเมตร
กรอบด้านข้างของ Samsung Galaxy Note 3 จะมีดีไซน์ที่ดูเรียบหรูมากกว่า
ที่ด้านบนของ Samsung Galaxy Note 3 จะมี Infrared Port เพิ่มเข้ามา
ที่ด้านล่างของ Samsung Galaxy Note 3 จะแตกต่างจากเดิม 2 จุดคือ การเปลี่ยนพอร์ต USB เป็นเวอร์ชัน 3.0 และการนำลำโพงเสียงมาไว้ที่ด้านล่าง เพื่อให้เสียงต่างๆ ถูกเปล่งออกมาได้อย่างเต็มที่
เมื่อถอดปากกา S Pen Stylus ออกมาจากช่องเก็บ สำหรับ Samsung Galaxy Note 2 จะแสดงหน้าต่างของ S Note ขนาดเล็กขึ้นมา แต่สำหรับ Samsung Galaxy Note 3 จะแสดงเป็นวงแหวนคำสั่งที่เรียกว่า Air Command
แนะนำฟีเจอร์เด่นของ Samsung Galaxy Note 3
Samsung Galaxy Note 3 จะทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 4.3 หรือ Jelly Bean ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุด
ใช้งาน User Interface แบบ Touch Wiz Nature UX เวอร์ชัน 2.0
การกดปุ่มที่ด้ามปากกา แล้วจ่อเอาไว้บริเวณใกล้ๆ กับหน้าจอประมาณ 1 วินาที วงแหวน Air Command ก็จะแสดงขึ้นมาให้เห็นโดยอัตโนมัติ ซึ่งฟังก์ชัน Air Command นี้ดูเหมือนจะเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุดของ Samsung Galaxy Note 3 เลยก็ว่าได้
ฟังก์ชันย่อยอย่างแรกของ Air Command ก็คือฟังก์ชัน Action Memo ซึ่งผู้ใช้สามารถเขียนคำสั่งต่างๆ ได้ด้วยลายมือ ซึ่งรองรับทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการโทรออกไปยังหมายเลขใด เราก็สามารถเขียนหมายเลขด้วยปากกา แล้วโทรออกได้ทันที และรวมไปถึงยังสามารถรองรับการบันทึกหมายเลขเอาไว้ในสมุดโทรศัพท์, การส่งข้อความ, การส่งอีเมล, การค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ และการค้นหาสถานที่
สามารถนำตัวเลขที่เขียนไว้มาใช้ในการโทรออกได้ทันที
ฟังก์ชันต่อมาก็คือฟังก์ชัน Scrapbook (สมุดภาพ)
โดยฟังก์ชัน Scrapbook จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถลากล้อมรอบสิ่งต่างๆ ที่ผู้ใช้สนใจ แล้วนำมาเก็บรวบรวมไว้ในสมุดบันทึกของตนเองได้
ยกตัวอย่างเช่น หากเราสนใจผลการค้นหาของคำว่า Galaxy Note 3 ก็ให้เราใช้ปากกาลากเส้นไปรอบๆ ข้อมูลของผลการค้นหาดังกล่าวก็จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้ใน Scrapbook ของเราได้อย่างง่ายดาย
ฟังก์ชันถัดมาก็คือฟังก์ชัน Screen Write (เขียนบนหน้าจอ)
โดยฟังก์ชัน Screen Write จะทำงานด้วยการจับภาพหน้าจอปัจจุบันที่ผู้ใช้กำลังใช้งานอยู่ หลังจากนั้น ผู้ใช้ก็สามารถขีดเขียนจดบันทึกเพิ่มเติมด้วยปากกาได้ตามใจชอบบนรูปภาพนี้นั่นเอง
ฟังก์ชันต่อมาก็คือฟังก์ชัน S Finder
ซึ่งฟังก์ชัน S Finder ก็คือฟังก์ชันที่เอาไว้สำหรับการค้นหาข้อมูลที่อยู่ภายในตัวเครื่อง ด้วยรูปแบบของการค้นหาแบบต่างๆ ที่หลากหลาย
ฟังก์ชันสุดท้ายของ Action Memo ก็คือฟังก์ชัน Pen Window
โดยการใช้งานฟังก์ชัน Pen Window ก็ง่ายๆ เพียงแค่ลากปากกาเป็นกรอบสีเหลี่ยมขนาดใดก็ได้
จากนั้น ก็จะปรากฏเป็นแอพพลิเคชั่นที่มีประโยชน์หลายๆ แอพพลิเคชั่น
โดยจุดเด่นของ Pen Windows ก็คือ การอนุญาตให้มีหน้าต่างขนาดเล็ก ของแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้สูงสุดถึง 8 หน้าต่าง และสิ่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เช่นหน้า Home Screen ก็ยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ
กล้องดิจิตอล 13 ล้านพิกเซลของ Samsung Galaxy Note 3 นั้นจะประกอบไปด้วยโหมดการถ่ายภาพรูปแบบต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โหมดอัตโนมัติ, หน้าสวย, รูปภาพที่ดีที่สุด, ใบหน้าที่ดีที่สุด, การถ่ายภาพพร้อมเสียง, ดราม่า, รูปภาพเคลื่อนไหว, กอล์ฟ, ริชโทน (HDR), ยางลบ, ภาพแนวกว้าง, ภาพรอบทิศทางแบบ 360 องศา และกีฬา
สามารถเปลี่ยนรูปแบบของการแสดงผลเมนูได้ 2 รูปแบบ คือแบบตารางกริด 2 มิติ และแบบกรอบสไลด์ 3 มิติ
โหมดกอล์ฟ ซึ่งเป็นโหมดการถ่ายภาพแบบใหม่ล่าสุด ซึ่งจะช่วยถ่ายภาพวงสวิง และคำนวณค่าต่างๆ ให้ เช่น ความเร็วของวงสวิง ดังนั้นโหมดนี้ก็จะเหมาะกับนักกอล์ฟเป็นพิเศษ
โหมดถ่ายภาพแบบรอบทิศทาง (Surround Shot) ซึ่งรองรับการถ่ายภาพแบบ 360 องศา กล่าวคือถ่ายได้ทุกทิศทุกทางภายในภาพเดียวกัน
การถ่ายภาพแบบ Dual Camera มีฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือ ฟังก์ชัน Glue ซึ่งช่วยให้สามารถยึดกรอบของภาพจากกล้องหน้า เอาไว้ ณ ตำแหน่งใดๆ ก็ได้ คล้ายกับการติดกาวเอาไว้นั่นอง และสำหรับการใช้งาน Dual Camera นี้ นอกจากกรอบรูปแบบมาตรฐานที่แอพพลิเคชั่นมีมาให้แล้ว เราก็ยังสามารถวาดกรอบในรูปแบบของตัวเองได้อีกด้วย
ฟังก์ชัน Easy Chart จะช่วยให้เราสามารถสร้างกราฟ หรือแผนภูมิในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งตารางแบบปกติ ไปจนถึงกราฟแท่ง และกราฟวงกลม รวมถึงยังสามารถแก้ไขตัวเลขบนแท่งกราฟได้อย่างง่ายดาย ด้วยการป้อนค่าจากปากกา S Pen Stylus
สามารถกดเปลี่ยนเป็นกราฟแบบวงกลม (Pie Chart) ได้ทันที
ฟังก์ชัน Easy Clip จะช่วยให้เราสามารถตัดภาพต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องใช้ปากกาลากเส้นให้เสียเวลา พร้อมทั้งสามารถเลือกส่วนที่ต้องการเพิ่ม หรือส่วนที่ต้องการลบออกในภายหลังได้อีกด้วย ซึ่งหลักการก็จะคล้ายกับโปรแกรม Photoshop ในเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง
แน่นอนว่า Samsung Galaxy Note 3 ก็จะมาพร้อมกับฟังก์ชัน Multi Window เช่นเดิม แต่คราวนี้มีความพิเศษเพิ่มเข้ามาคือ เราสามารถลากข้อความ หรือลากรูปข้ามไปข้ามมาระหว่างหน้าต่าง 2 หน้าต่างได้ ยกตัวอย่างเช่นในแอพพลิเคชั่น ChatON หากเราต้องการนำรูปภาพจากเพื่อนในหน้าต่างบน มาให้กับเพื่อนในหน้าต่างล่าง เราก็สามารถลากลงมาได้ทันที เป็นต้น
ในขณะที่อยู่บนหน้า Home Screen หากเราสไลด์หน้าจอจากด้านล่าง ขึ้นไปด้านบน ก็จะเป็นการเข้าสู่แอพพลิเคชั่น My Magazine
อีกฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใหม่ก็คือ การปลดล็อคหน้าจอด้วยการเขียน หรือเซ็นชื่อด้วยปากกา S Pen Stylus
แอพพลิเคชั่น Group Play ยังคงสามารถแชร์เพลง, แชร์รูปภาพ, แชร์เอกสาร และเล่นเกมส์พร้อมกันได้หลายๆ เครื่องเช่นเคย แต่ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ก็คือสามารถแชร์คลิปวีดีโอได้ด้วย
นอกจากจะเปิดดูคลิปวีดีโอพร้อมๆ กันหลายเครื่องได้แล้ว หากนำเครื่องมาเรียงต่อกัน ก็จะกลายเป็นจอภาพขนาดใหญ่ได้ในพริบตาดังภาพ
สำหรับการโทรเข้า, การแจ้งเตือน, กล้องถ่ายรูป และการเล่นเพลง เราสามารถควบคุมด้วยเสียงได้
สำหรับการขีดๆ เขียนๆ นอกจากจะมีแอพพลิเคชั่น S Note ให้ใช้ตามปกติแล้ว ก็ยังมีแอพพลิเคชั่นตัวเด็ดอย่าง Sketchbook Proติดตั้งมาใช้งานกันแบบฟรีๆ อีกด้วย ซึ่งแอพพลิเคชั่นนี้ถือว่าเป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับการวาดรูปที่ดีที่สุดแอพพลิเคชั่นหนึ่งเลยทีเดียว
อีกสุดยอดแอพพลิเคชั่นที่ถูกผนวกเข้ามากับ Samsung Galaxy Note 3 ก็คือแอพพลิเคชั่น Evernote ซึ่งรองรับการซิงค์ข้อมูลการบันทึกต่างอๆ ระหว่างอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา หรือหากจะนำกลับมาแก้ไขใหม่ก็สะดวกง่ายดาย
แอพพลิเคชั่นบันทึกเสียงโดยทั่วไป จะสามารถบันทึกเสียงได้จากไมโครโฟนเพียงแค่ตัวเดียว แต่สำหรับ Samsung Galaxy Note 3 สามารถใช้ไมโครโฟนเพื่อการบันทึกเสียงได้พร้อมๆ กันถึง 2 ตัว ดังนั้นเสียงการสนทนาระหว่างผู้สัมภาษณ์ และผู้ถูกสัมภาษณ์ก็จะมีความชัดเจนไม่แพ้กัน
ทดสอบประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมของ Samsung Galaxy Note 3
ทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอพพลิเคชั่น AnTuTu Benchmark โดยเลือกการทดสอบในทุกส่วน ทั้งส่วนติดต่อผู้ใช้, ซีพียู, แรม, จีพียู และอินพุต-เอาต์พุต
ผลการทดสอบที่ได้ก็คือ 34,564 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุด
ตรวจสอบคุณสมบัติโดยรวมของตัวเครื่องกันอีกสักรอบ
คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Galaxy Gear
รูปลักษณ์ภายนอก และการออกแบบดีไซน์ของ Samsung Galaxy Gear
ผลิตภัณฑ์สุดไฮเทคที่เปิดตัวมาคู่กับ Samsung Galaxy Note 3 ก็คือ Samsung Galaxy Gear ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือดีไซน์สวยทันสมัย พร้อมวัสดุเกรดพรีเมียม ซึ่งดูแข็งแรงทนทานเป็นอย่างยิ่ง และใช้งานร่วมกับ Samsung Galaxy Note 3 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยการชาร์จแบตเตอรี่นั้น จะอาศัยเคสพิเศษที่สามารถเชื่อมต่อกับ Adapter ชาร์จแบตเตอรี่ที่มีหัวต่อแบบ microUSB ได้
ที่ด้านหน้าของเคส ก็จะเป็นวัสดุแบบหนังเทียมเช่นเดียวกัน
เมื่อใส่เคสแล้ว นาฬิกาก็จะหนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ที่ด้านขวาของตัวเคส จะมีที่ปลดล็อคตัวเคส ก่อนที่ผู้ช้จะนำนาฬิกาไปสวมใส่ และใช้งานต่อไป
ที่ด้านหน้าของนาฬิกาจะมีจอแสดงผลแบบ OLED Capacitive Touchscreen ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 พิกเซล
ที่ด้านซ้ายของนาฬิกาจะมีแค่รูไมโครโฟนเพียงอย่างเดียว
ที่ด้านขวาของนาฬิกา จะมีปุ่มเปิด-ปิดการทำงาน หรือล็อคหน้าจอ และรูไมโครโฟน
ที่ด้านหนึ่งของสายนาฬิกาจะเป็นกล้องดิจิตอลความละเอียด 1.9 ล้านพิกเซล ซึ่งสามารถถ่ายวีดีโอได้ด้วย
อีกด้านหนึ่งของสายนาฬิกาจะไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ติดตั้งอยู่
ที่บริเวณตัวล็อคสายนาฬิกา จะมีลำโพงเสียงติดตั้งอยู่ ซึ่งเสียงอาจจะไม่ดังมาก แต่เมื่ออยู่ใกล้ๆ ก็ถือว่ามีความชัดเจนดี
ที่ด้านล่างของตัวนาฬิกา จะเป็นขั้วสัมผัส สำหรับการเชื่อมต่อกับเคสชาร์จแบตเตอรี่
ตัวล็อคสายนาฬิกากับข้อมูล จะเป็นแบบพับ คล้ายกับนาฬิกาทั่วๆ ไปดังรูป
สามารถปรับขนาดของสาย ให้พอดีกับขนาดข้อมือของแต่ละคนได้ด้วยการเลื่อนหมุดล็อค
ซิงค์ข้อมูลกับ Samsung Galaxy Note 3 ได้ตลอดเวลาเหมือนเพื่อนคู่ใจ
แนะนำฟีเจอร์เด่นของ Samsung Galaxy Gear
ที่หน้าแสดงผลหลักของ Samsung Galaxy Gear จะมีการแสดงข้อมูลเวลา และสภาพอากาศปัจจุบัน รวมถึงการแสดงว่าข้อมูลสภาพอากาศที่เห็นอยู่นั้น อัพเดทล่าสุดเมื่อไหร่
เมื่อสไลด์หน้าจอลงมาจากด้านบน ก็จะเป็นการเข้าสู่โหมดกล้องดิจิตอล
มีระบบโฟกัสภาพแบบอัตโนมัติ และการถ่ายภาพระยะใกล้มาให้ในตัว เรียกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ความละเอียดสูงสุดของภาพก็คือ 1392x1392 พิกเซล ซึ่งจะเห็นว่าเป็นภาพในอัตราส่วนแบบ 1:1 แต่หากต้องการภาพถ่ายในอัตราส่วนแบบ 4:3 ก็ต้องเลือกไปที่ความละเอียด 1280x960 พิกเซล
สามารถกดเปลี่ยนเป็นโหมดกล้องวีดีโอได้
รองรับการถ่ายภาพวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล) ซึ่งถือว่าเป็นความละเอียดที่มากพอดูสำหรับกล้องติดนาฬิกาตัวเล็กๆ แบบนี้
เมื่อสไลด์หน้าจอขึ้นไปจากด้านล่าง จะแสดงให้เห็นแป้นปุ่มกดตัวเลขสำหรับการโทรออก
เมนูหลักเมนูแรกก็คือการแจ้งเตือน ซึ่งหากมีการแจ้งเตือนใหม่ ก็จะเห็นไอคอนรูปวงกลมแสดงจำนวนของการแจ้งเตือน โดยรองรับได้ทั้งข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์, การใช้งาน Facebook, การใช้งานรับ-ส่งข้อความ และอื่นๆ ซึ่งมีการลิงค์ข้อมูลกับเครื่อง Samsung Galaxy Note 3 แบบทันทีทันใด ด้วยจุดเด่นของระบบ Smart Relay นั่นเอง
หากมีสายที่ไม่ได้รับ ก็สามารถกดเข้าไปดูในเมนูของการแจ้งเตือนได้
ฟังก์ชัน S Voice สำหรับการสั่งงานด้วยเสียง
สามารถสั่งให้โทรออก, พิมพ์ข้อความ หรือตั้งปลุกได้
รองรับการบันทึกเสียง
สามารถบันทึกเสียงได้นานสูงสุดรายการละ 5 นาที
มีโปรแกรมแกลเลอรี่สำหรับการเปิดดูรูปภาพที่ถ่ายไว้
เมื่อเปิดเข้ามาในแกลเลอรี่ ก็จะมีการแสดงผลแบบง่ายๆ ในรูปแบบของตาราง 2x2
เมื่อต้องการเปิดดูรูปใด ก็สามารถกดเข้าไปดูได้
ที่สำคัญคือรองรับการซูมย่อ-ขยายแบบ Pinch-to-Zoom ได้ด้วย
รองรับการควบคุมเครื่องเล่นเพลงผ่านทาง Samsung Galaxy Gear
มีฟังก์ชันควบคุมพื้นฐานอยู่ครบครัน ได้แก่ การเล่น, หยุดชั่วคราว, เลือกเพลงก่อนหน้า, เลือกเพลงถัดไป, เพิ่มเสียง และลดเสียง
สามารถแสดงชื่อเพลงได้ด้วย แต่สำหรับชื่อเพลงภาษาไทย ยังไม่มีโอกาสทดสอบว่าสามารถแสดงผลได้ด้วยหรือไม่
สามารถซิงค์ข้อมูลจำนวนการก้าวเดินได้แบบ Real-Time
กำหนดเป้าหมายของการก้าวเดินได้ว่าต้องการจะเดินทั้งหมดกี่ก้าว
กำหนดความสูง และน้ำหนักตัวของเราเองได้ เพื่อความถูกต้องแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูล
มีส่วนของหน้ารวมแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อีกต่างหาก
หน้ารวมแอพพลิเคชั่นจะแสดงผลแบบ 2x2
แอพพลิเคชั่นสำหรับการตั้งเวลาล่วงหน้า
รองรับการซิงค์ข้อมูลกับปฏิทิน S Planner ใน Samsung Galaxy Note 3
หน้าถัดมาก็คือการค้นหาอุปกรณ์, รายการที่เก็บไว้, บันทึกล่าสุด และผู้โทร
ค้นหาอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อทำการจับคู่
ตรวจสอบประวัติการใช้งานล่าสุด
แสดงผลได้ทั้งสายที่ไม่ได้รับ, สายที่โทรออก, สายที่โทรเข้า และอื่นๆ
ซิงค์รายชื่อจากสมุดโทรศัพท์ใน Samsung Galaxy Note 3 ได้
แสดงข้อมูลชื่อ และหมายเลขโทรศัพท์ในแบบง่ายๆ
ตรวจสอบสภาพอากาศ ณ ปัจจุบัน และตรวจสอบได้ว่ากำลังอยู่ในสถานที่ใด
สำหรับนักวิ่ง หรือนักกีฬา ก็สามารถใช้ Samsung Galaxy Gear ในการจับเวลาได้
หากต้องการปรับแต่งการใช้งานเพิ่มเติม ก็ให้เข้าไปยังส่วนของการตั้งค่า
สามารถตั้งค่านาฬิกา, เสียง และระดับเสียง ได้
กำหนดได้ว่าต้องการจะใช้งานนาฬิกาด้วยแขนซ้าย หรือแขนขวา
เพิ่ม-ลดระดับเสียงของสื่อต่างๆ ได้ตามต้องการ
สามารถตั้งค่าความสว่าง, หมดเวลาหน้าจอ และสีพื้นฐานหน้าหลักได้
สามารถตั้งค่าขนาดตัวอักษร และการแสดงผลเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ได้
สามารถตั้งค่าบลูทูธ, ล็อคเพื่อความเป็นส่วนตัว และภาษาได้
รองรับการปลดล็อคด้วยการลากจุดเป็น Pattern แบบต่างๆ ตามที่เรากำหนด
สามารถรีเซ็ตการตั้งค่าต่างๆ ของ Samsung Galaxy Gear ให้เหมือนกับเพิ่งออกมาจากโรงงานได้
ตัวอย่างของการใช้งานโทรศัพท์
ตัวอย่างของการใช้งานเครื่องเล่นเพลง
ตัวอย่างของการใช้งานแอพพลิเคชั่นเพื่อการออกกำลังกาย
สำหรับคำถามสำคัญที่ว่า Samsung Galaxy Gear นั้น สามารถนำไปใช้งานกับ สมาร์ทโฟน รุ่นอื่นๆ ได้ด้วยหรือไม่ คำตอบก็คือในขณะนี้ Samsung Galaxy Gear สามารถใช้งานได้กับ Samsung Galaxy Note 3 เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น แต่ภายในเดือนธันวาคม 2556 นี้ ทาง ซัมซุง จะมีการอัพเดทให้สามารถใช้งานกับ สมาร์ทโฟน ตัวเรือธง หลายๆ รุ่นของ ซัมซุง ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Samsung Galaxy S4, Samsung Galaxy Note 2 หรือ Samsung Galaxy S3
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลความละเอียดระดับ 13 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy Note 3
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลความละเอียดระดับ 1.9 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy Gear
สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy Note 3 และ Samsung Galaxy Gear
ก็ต้องนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์อีกรุ่นที่บอกความรู้สึกได้ทันทีว่า แรกจับประทับใจ ทั้งในส่วนของ Samsung Galaxy Note 3และ Samsung Galaxy Gear โดยเฉพาะเท่าที่ทีมงานมีโอกาสได้ใช้งานทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ไปพร้อมๆ กัน ก็ทำให้พบว่ายังมีประสบการณ์ใหม่ๆ อีกหลายอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ดังนั้นหากท่านใดมีงบประมาณไม่จำกัด การตัดสินใจจับจองเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ทั้งคู่นี้ ก็น่าจะช่วยให้ชีวิตดูมีสีสัน และสะดวกสบายขึ้นไม่น้อย โดยในฝั่งของ Samsung Galaxy Note 3 นั้น เป็น สมาร์ทโฟน ระดับเรือธง ที่ทาง ซัมซุง หมายมั่นปั้นมือว่าจะสร้างปรากฏการณ์ได้ไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง Samsung Galaxy Note 2 โดยการเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้กับ Samsung Galaxy Note 3 อย่างเต็มความสามารถ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนการออกแบบดีไซน์ให้ดูพรีเมียมหรูหรามากกว่าเดิม ด้วยวัสดุแบบหนังเทียม, ตัวเครื่องที่บางเบากว่าเดิม, หน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ และละเอียดกว่าเดิม, หน่วยความจำที่ใหญ่กว่าเดิม ทั้งหน่วยความจำแรม และหน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล, กล้องดิจิตอลที่ละเอียดมากกว่าเดิม และที่สำคัญก็คือการพัฒนาฟังก์ชัน Air Command ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้การใช้งาน S Pen Stylus มีความครบเครื่องหลากหลายมากกว่าที่เคย
ส่วนราคาเปิดตัวของ Samsung Galaxy Note 3 นั้นอยู่ที่ 23,500 บาท (ความจุ 32 GB) ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่า Samsung Galaxy Note 2 (ความจุ 16 GB) ตอนเปิดตัว (22,900 บาท) อยู่เล็กน้อย แต่ก็ได้ความจุของหน่วยความจำภายในที่เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว โดยเปิดให้จองล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 18-24 กันยายน 2556 และรับเครื่องได้ตั้งแต่วันที่ 25-28 กันยายน 2556 ซึ่งผู้ที่จองล่วงหน้าจะได้รับฟรี ประกันจอแตก, เครื่องตกน้ำ, เครื่องโดนขโมย จากกรุงเทพประกันภัย รวมไปถึงรับฟรี การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ความจุ 32 GB ส่วนท่านใดที่ยังไม่ต้องการจองล่วงหน้า ก็สามารถรอวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้งได้ นั่นก็คือตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป ซึ่งก็คือเริ่มจำหน่ายในงานมหกรรมมือถือครั้งใหญ่ประจำปลายปีนี้อย่างงาน Thailand Mobile Expo 2013 Showcase นั่นเอง และสำหรับท่านใดที่ต้องการตัวเครื่องสีชมพู ก็อาจจะต้องรอไปก่อน เนื่องจากในช่วงแรกทาง ซัมซุง จะนำ Samsung Galaxy Note 3 มาจำหน่ายเพียงแค่ 2 สี คือ สีดำ (Jet Black) และสีขาว (Classic White) เท่านั้น และในด้านของนาฬิกาข้อมูลสุดไฮเทคอย่าง Samsung Galaxy Gearทาง ซัมซุง ก็จะนำเข้ามาจำหน่ายด้วยเช่นกัน ในราคา 8,900 บาท แต่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2556 โดยจะนำเข้ามาจำหน่ายทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีดำ (Jet Black), สีชมพู (Rose Gold), สีส้ม (Wild Orange) และสีเทา (Mocha Gray) โดยสีดำจะเข้ามาก่อน ส่วนอีก 3 สีที่เหลือก็จะตามมาภายในเดือนตุลาคม 2556
และขอย้ำอีกครั้งว่า Samsung Galaxy Note 3 ที่นำมาวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้นจะเป็นโมเดล N9000 ซึ่งใช้ชิปเซ็ต Exynos 5 Octa 5420 ดังนั้นจึงไม่รองรับการใช้งานกับเครือข่ายความเร็วสูงอย่าง 4G LTE และไม่รองรับการถ่ายภาพวีดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K นั่นเอง ซึ่งก็อาจจะทำให้ผู้ซื้อเกิดความลังเลใจอยู่บ้าง แต่หากท่านใดคิดว่าประเด็นในเรื่องของ 4G LTE หรือการถ่ายวีดีโอระดับ 4K ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว Samsung Galaxy Note 3 ก็ยังถือว่าเป็น สมาร์ทโฟน ระดับไฮเอนด์ ที่ครบเครื่อง และน่าใช้งานที่สุดอีกรุ่นหนึ่งในช่วงปลายปีนี้ ส่วนเนื้อหาที่ผ่านไปข้างต้น ก็เป็นเพียงการพรีวิว Samsung Galaxy Note 3 แบบคร่าวๆ จากทีมงานของเราเท่านั้น ซึ่งหากทีมงานได้รับเครื่องทดสอบมาเมื่อไหร่ ก็จะนำรีวิวฉบับสมบูรณ์มาให้ทุกท่านได้ติดตามกันอีกครั้งอย่างแน่นอนครับ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 3
- มีการออกแบบดีไซน์ตัวเครื่องใหม่หมดจด ให้ดูมีความพรีเมียมหรูหรามากยิ่งขึ้น บางเบากว่าเดิม พร้อมฝาหลังที่ใช้วัสดุแบบหนังเทียม (Faux-Leather)
- รองรับการใช้งานร่วมกับนาฬิกา Samsung Galaxy Gear อย่างเต็มรูปแบบ - ปากกา S Pen Stylus พร้อมช่องสำหรับเก็บปากกาในตัว - ฟังก์ชัน Air Command รวม 5 คำสั่งสำคัญไว้ในที่เดียวกัน (Action Memo, Scrapbook, Screen Write, S Finder และ Pen Window) - ฟรีแอพพลิเคชั่น Sketchbook Pro และ Evernote ติดตั้งมาให้ในตัว - ปุ่มแบบสัมผัส 2 ปุ่มที่ด้านล่างของหน้าจอ สามารถใช้ปากกา S Pen Stylus สัมผัสได้ - ฟังก์ชัน Easy Chart ในแอพพลิเคชั่น S Note สามารถสร้างแผนภูมิ หรือกราฟได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย - ฟังก์ชัน Multi Window รองรับการใช้งานแอพพลิเคชั่นเดียวกัน พร้อมกันทั้งสองหน้าต่าง และรองรับคุณสมบัติ Drag & Drop ซึ่งสามารถลาก หรือคัดลอกเนื้อหาข้ามไปมาระหว่างหน้าต่างได้ - จอแสดงผลแบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 1920x1080 Pixels (Full HD 1080p : กว้าง 5.7 นิ้ว : 386 ppi) พร้อม User Interface แบบ Touch Wiz Nature UX เวอร์ชัน 2.0 - หน่วยประมวลผลภาพกราฟฟิคโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Mali-T628 MP6 - ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Exynos 5 Octa 5420 (1.9 GHz Octa-Core Processor) (ซีพียูแบบ Quad-Core Cortex-A15 Processor ความเร็วในการประมวลผล 1.9 GHz และ Quad-Core Cortex-A7 ความเร็วในการประมวลผล 1.3 GHz) - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 4.3 (Jelly Bean) - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 32 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB - รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash) ได้สูงสุดขนาด 64 GB - กล้องดิจิตอลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 13 ล้าน Pixels (BSI) พร้อมไฟแฟลชในตัว (High CRI LED), ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ, โหมดถ่ายภาพแบบกอล์ฟ, ฟังก์ชัน Photo Frame, โหมดถ่ายภาพแบบ Surround Shot และฟังก์ชัน Glue พร้อมรองรับการถ่ายภาพวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1920x1080 Pixels : 30 fps) - กล้องดิจิตอลขนาดเล็กที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 2 ล้าน Pixels (BSI) พร้อมรองรับการถ่ายภาพวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1920x1080 Pixels : 30 fps) - ฟังก์ชัน Group Play สำหรับการแชร์ และเปิดเล่นไฟล์เพลง, ไฟล์วีดีโอ, ไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เอกสาร หรือเล่นเกมส์บนหลายเครื่องพร้อมกัน พร้อมรองรับการสร้างจอภาพขนาดใหญ่ ด้วยการเรียงเครื่องหลายเครื่องต่อกัน - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ WiFi, HSPA+, EDGE และ GPRS - รองรับการเชือมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง NFC, Bluetooth และ Infrared Port - รองรับมาตรฐาน USB เวอร์ชัน 3.0 - แอพพลิเคชั่นบันทึกเสียง สามารถใช้ไมโครโฟน 2 พร้อมกันได้ - แบตเตอรี่ Li-Ion ความจุ 3,200 mAh - วิทยุ FM Stereo ในตัว พร้อมรองรับการใช้งานระบบ RDS (Radio Data System)
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Note 3
- วัสดุที่ใช้ผลิตตัวเครื่อง ยังคงเป็นพลาสติก
- ราคาเปิดตัวค่อนข้างสูง (23,500 บาท) - ไม่รองรับการใช้งานร่วมกับเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE (รองรับเฉพาะโมเดล N9005) - ไม่รองรับการถ่ายภาพวีดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K (3840x2160 พิกเซล) (รองรับเฉพาะโมเดล N9005) - ไม่รองรับการถ่ายภาพวีดีโอแบบ Slow Motion (รองรับเฉพาะโมเดล N9005)
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติแบบสรุป (Specification) ของ Samsung Galaxy Note 3 ได้โดยการคลิ๊กที่ Link ด้านล่างนี้ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น